Tuesday, October 30, 2007

Britney's Blackout


ok ค่ะ หลังจากที่คุณเพื่อน lusbasketball บ่นว่าอยาก comment และให้ update blog ของตัวเองได้แล้ว เราก็ทำตามคำขอนะคะ แต่ว่าตอนนี้ม่ายค่อยมีเรื่องอะไรที่ทำให้เราสนใจมากเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เพิ่งload itunes ใหม่และกำลังเห่ออยู่เลยขอใช้ blog ของตัวเองระบายอารมณ์ทางด้านดนตรีหน่อยละกัน ครั้งที่แล้วเขียนเรื่อง mark ronson ไปเหมือนจะทำตัวเป็นนักวิจารณ์กลายๆ รู้สึกติดใจ ขอทำตัวแบบนั้นกับ blackout ของ britney หน่อยนะคะนะคะ


เราม่ายต้องเล่าประวัติอะไรของสาวคนนี้มากนักเพราะรู้ๆกันอยู่แล้วว่าเป็นยังงัยกันอยู่ หลายๆคนบอกว่า Britney นั้นจบไปแล้ว เพราะมีแต่เรื่องและข่าวเสียหาย แต่ว่าความจริงเราก็ปฏิเสธกันไม่ได้อยู่ดีว่าไม่ว่าจะเป็นข่าวเสียหรือข่าวดี เธอคนนี้คือข่าวหน้าหนึ่งตลอดเวลา พูดง่ายๆจะดีจะร้ายยังงัยคนก็สนใจ และข่าวที่ออกมาแต่ละข่าวก็น่าเห็นใจทั้งนั้น แต่ว่าเราจะพูดถึงอัลบั้มนี้เท่านั้น เรื่แงส่วนตัวไม่เกี่ยว เราจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานนะคะ นะคะ เอาละค่ะว่ากันเลย อัลบั้ม blackout อันนี้ เพราะหลายๆคนให้ความสนใจกันอยู่ โดยเฉพาะหลังจากโชว์ใน mtv 2007 ที่ถือว่าเป็น disaster มากกกกกกสำหรับอาชีพการเป็นนักร้อง เพราะว่ามันดูไม่น่าเชื่อว่าจะกลับมาได้อย่างสวยงามเหมือนเดิม


หลังจากที่ฟังเพลงใน album นี้ ยัง!!! อย่าเข้าใจผิดคิดว่ารีบซื้อมาฟังทันทีเลย เราไม่ซื้ออะไรเด็ดขาดถ้าไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบจริงๆ ตอนนี้ขอแอบๆฟังแบบผิดๆเล็กๆทาง imeem เพราะมีครบทุกเพลงทั้งอัลบั้ม และไม่ใช่สามสิบวินาทีค่ะ ลองดูก่อน ไม่อยากเสียเงินฟรีเท่าไหร่ ไม่ใช่ big fan ขนาดนั้น อืม รู้สึกว่าเพลง catchy but overproduced ไปนี๊ดส์หมือนกินของหวานโรยน้ำตาลเยอะๆ (รู้สึกมั้ยว่าเมื่อ่รากินของหวานชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว มันก็ต้องหวานๆสิ) ทุกอย่างเยอะไปหมด เพลงทุกเพลงฟังได้ ถ้าคุณชอบ sounds แบบ gimme more แต่ก็เรียกได้ว่า producer รู้จักอะไรมาบ้างในชีวิตการทำงานก็คงจะใส่เข้าไปในเพลงหมด ถามว่าดีมั้ย ดีค่ะเป็นการโชว์ความสามารถของ producer ดี ไม่แย่หรอก แต่ไม่มีเพลงไหนที่เด่นแบบ stands out ฟังแล้วแบบโอ้วนี่งัยถูกใจใช่เลย sounds โดยรวมๆของอัลบั้มยังคงเป็น pop อยู่แต่ว่าใส่ dance และ electronic เข้าไป คล้ายกับอัลบั้มที่แล้ว แต่อันนั้ออกแนวแบบโว้ว หนักนะค้า หนักนะค้าเนี่ย เหมือนกับไปนั่งฟัง dj ที่ไหนก็ได้ mix แผ่นอยู่ยังไงยังงั้น ซึ่งถ้าจะทำเพลงแบบนี้ ความจริงแล้ว vocals ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้คะ เพลงก็ ok แต่ว่าจุดเด่นอยู่ที่ beat ของแต่ละเพลง ไม่ใช่เสียงของ britney ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย (ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัลบั้มนี้คือ Brtiney มาก่อนแล้วมาฟัง ใครทายถูกรอบแรกว่าเป็นเสียง britney คุณยอดมากค่ะ)

โดยรวมๆแล้วอัลบั้มนี้ถ้าให้ทายคงจะประสบวามสำเร็จ อย่างน้อยก็ยอดขาย แต่คงเพราะว่าชื่อของเจ้าของอัลบั้มเป็นทุนเดิม
แต่อย่างหนึ่งที่ติดใจมากเลย คือมันจะทัวร์ยังงัยว่ะโดยที่ไม่ถูกหาว่า lip sync อ่ะ
p/s อัลปั้มนี้ไม่มีอะไรจะแนะนำเลยจริงๆ เพราะว่าที่ฟังไปยังรู้สึกมึนๆเล็กน้อยถึงปานกลางแบบว่า อือ ตกลงจะชอบเพลงไหนดีว่ะ รู้สึกว่ามันเหมือนกันหมดว่ะ เพราะฉะนั้น เอาเพลงไปค่ะ แล้วไปหาฟังกันเอาเองแล้วกัน คิดเห็นกันว่ายังงัยบอกกล่าวกันด้วยละกันนะคะ


track list:

1. Gimme More

2. Piece Of Me

3. Radar

4. Break The Ice

5. Heaven On Earth

6. Get Naked (Got A Plan)

7. Freakshow

8. Toy Soldier

9. Hot As Ice

10. Ooh Ooh Baby

11. Perfect Lover

12. Why Should I Be Sad (อันนั้เป็นเพลงเดียวที่รู้สึกว่าแตกต่างออกมาหน่อย Pharrell Williams ทำ ก็ไมน่าแปลกใจหรอก)

Thursday, September 27, 2007

Sex and the city.. THE MOVIE!!!

บอกคำเดียวว่า "ฟร้าว" ดีคะ ดีค่ะ เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตารอมานานแล้ว รู้สึกเศร้านิดๆตอน season 6 จบไป (แต่จะว่าไปเราก็ชอบ series ของ HBO เกือบทุกเรื่องแหละ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มากที่สุด)

สำหรับหนัง Sex and the city จะเข้าฉายช่วงเดือนพฤษภาคม 2008 นะคะ (สาธุ!! เข้าเมืองไทยด้วยนะคะ นะคะ) นักแสดงคนเก่าๆที่เราเคยเห็นมาทั้งหมดตั้งแต่ในสมัยยังเป็น series ก็กลับมาแสดงในหนังเรื่องนี้หมดเหมือนกันค่ะ หลังจากที่มีข่าวหลังกล้องถึงความบาดหมางเล็กๆของ Kim Cattrall กับ Sarah Jessica Parker จนทำให้แผนการสร้างหนังดูเหมือนจะต้องล้มเลิกไป

สำหรับตอนนี้เราก็ไม่มีอะไรจะพูดมากนักเท่าไหร่ นอกจากมีรูปมาฝากเล่นๆ แต่ว่าหนังเรื่องนี้คงเป็นที่คาดหวังจากแฟนๆของ series เพราะว่า productions ของหนังเรื่องนี้ยังเป็น HBO เหมือนเดิมค่ะ (อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเราจะคาดหวังกับอะไรได้บ้างเล็กๆ)

Tuesday, September 25, 2007

The new World Trade Center

ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่คนทั่วโลกให้ความสนใจเมื่อปี 2001 คงหนีไม่พ้นข่าวที่ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินฟุ่งเข้าชนตึก World Trade Center ใน New York City เพราะทำให้มีผู้บริสุทธิ์หลายพันคนต้องเสียชีวิต นอกเหนือจากการสูญเสียแล้ว หลายคนคงยังจำได้ว่านี่เป็นสาเหตุหรือข้ออ้างหนึ่งของสงครามในทางศาสนาในตะวันออกกลางที่ไม่เคยสิ้นสุด (พูดจริงๆว่าตอนนั้นเราไม่อยากเปิดโทรทัศน์ช่อง CNN สักเท่าไหร่ เพราะเห็นแล้วเบื่อกับสงครามและสงสัยว่าทำไมคนเหมือนกันถึงเลือกที่จะฆ่าฟันกันเอง เราไม่รู้ว่าพระเจ้าใจริงรึเปล่า แต่รู้ว่าถ้ามีจริงพระเจ้าคงอยากเห็นโลกสงบสุขมากกว่า) แต่อย่างไรก็ตามการถล่มตึกWorld Trade Center นี้เป็นการกระตุกหนวดเสืออย่างรุนแรง (อันนั้เห็นด้วยที่สุดและแอบสะใจเล็กน้อย!!) ผลลัพท์ที่ตามมาคือสงครามและการแบ่งพรรคแบ่งพวกของประเทศต่างๆทั้งในยุโรปและเอเชีย แต่อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากเรื่องของสงคราม คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือคนที่อาศัยอยู่ใน New York City ในเวลานั้น เราเองก็คงไม่สามารถจะเข้าใจความรูสึกของคนเหล่านั้นได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็พอจะเข้าใจว่าคง shock น่าดูกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเราเองก็นั่งอึ้งกิมกี่ไปนานหน้าจอโทรทัศน์ พูดกันตรงว่าเหตุการณ์นั้นคงทำลาย sense of security ของคนในเมืองอย่างรุนแรง และคนหลายคนคงทุกข์ใจไปกับการสูญเสียคนในครอบครัวหรือเพื่อนจากเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่เกิดเหตุคือประเทศที่มี security หนาแน่นและเป็นยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา

แต่ว่าทุกอย่างที่เราเห็นมีทั้งผลดีและผลเสียอย่างที่พวกเราก็รู้ๆกันดีอยู่แล้ว เพียงแค่มองในมุมกลับกับเราก็เห็นเรื่องเดียวกันในอีกด้าน เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องสงครามที่เราเห็นตามหน้าสื่อต่างๆ เราก็ได้เห็นน้ำใจของคนที่พยายามให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่าง New York City นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นได้ง่ายๆ เรื่องอีกเรื่องหนึงที่เราเห็นกันได้ชัดเจนคือความเคลื่อนไหวของคนในวงการ Art and Design เหตุการณ์นี้มีผลกระทบอย่างรุนแรงค่ะ (ถ้าคุณสังเกตุในปีนั้นงาน oscar ค่อนข้างเงียบเหงา เศร้าอย่างเล๊กน้อยและทุกคนใส่ชุดดำ) แต่ว่าหนึ่งในวงการที่มีความเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ Architecture เพราะมีการพูดกันอย่างหนาหูว่าจะมีการสร้างตึก World Trade Center ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ New York City เองก็เป็นเมืองที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงของ Art and Design อยู่แล้ว ทั้งพิพิธภัณท์ชื่อดังต่างๆไม่ว่าจะเป็น guggenheim หรือ MOMA ก็เป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ถ้าการสร้างตึก World Trade Center ครั้งใหม่จะเป็นที่น่าตับตา


หลังจากที่เหตุการณ์ในปี 2001 ทาง New York City ได้มีการ The Lower Manhattan Development Corporation หรือที่รู้จักกันอย่างย่อๆเลยว่า LMDC ขึ้นมาเพื่อหารายได้เพื่อใช้ในการสร้างตึกและปรับปรุง downtown Manhattan หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยLMDC จัดให้มีการประมูลงานของ architect ทั่วประเทศเพื่อที่จะมาใช้มาเป็นแบบในการสร้างบริเวณ Ground Zero หรือบริเวณที่ถูกทำลายไป บรรดา archiect ต่างก็ส่งผลงานเข้ามาเพื่อประมูลงานชึ้นนี้ (แต่งานนี้น่าแปลกใจเพราะว่า architect ชื่อดังระดับโลกหลายคนไม่เข้ามาร่วม นั้นก็เป็นเพราะว่าค่าจ้างในงานนี้น้อยมากๆ เพราะว่าแค่ $40,000 โดยประมาณเท่านั้น ซึ่งถ้าพูดกันจริงถือว่าน้อยมากท่าเทียบกับงานใหญ่และความรับผิดชอบสูงขนาดนั้น) แต่อย่างไรก็ตามงานของ Daniel Libeskind ได้รับการคัดเลือก สำหรับตัวของ Daniel Libeskind เองนั้นเป็น Jewish American architect ชื่อเสียงโด่งดังพอตัว ถึงแม้ว่าจะไม่โด่งดังขนาดอะไรประมาณนั้น แต่งานของ Daniel Lebeskind ก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางพอตัวเลย โดยเฉพาะเมื่อเป็นงานที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ cultures แล้วด้วย architect คนนี้มีงานที่น่าสนใจอยู่หลายงานค่ะ (แต่ว่างานตึก World Trade Center ครั้งนี้กำลังจะเป็น most high-profile ของงานทั้งหมดที่เค้าได้ทำมาและจะเป็นงานที่คนหลายจับตากันทั่วโลกแน่นอน ถ้าให้ทายขอบอกว่าคนๆนี้ได้ pritzker จากงานนี้ชัวร์!!)


สำหรับ Deniel Lebeskind งานนี้ตัวเค้าเองไม่ได้เป็น architect แต่กลับเป็นผู้คุมงานทั้งหมด เพราะเค้าเป็น master site planner ซึ่งหมายความว่าเค้านี่เองที่เป็นผู้ออกแบบและวางแผนงานทั้งหมดว่าควรจะออกมาเป็นอย่างไร ในการสร้างครั้งนี้ เราไม่ได้พูดถึงการสร้างตึกเพียงตึกเดียวนะคะ แต่เราพูดถึงการออกแบบพื้นที่ใหญ่ๆทั้งพื้นที่และรวมถึงตึกหลายๆตึก พิพิธภัณท์ สถานีรถไฟใต้ดิน รวมทั้งสวนสาธารณะด้วย และในงานนี้เค้าได้รับการร่วมมือจาก architect หลายๆคนที่จะเข้ามาร่วมกันช่วยสร้างงานครั้งนี้ไม่ว่จะเป็น Frank Gahry, David Childs, และ Santiago Calatrava สำหรับตึกที่จะเด่นที่สุดในงานนี่คือตึกที่มีชื่อว่า Freedom Tower โดยจะมีความสูงทั้งหมด 1,776 ft หรือ 541 m ซึ่งถือว่าสูงมาก สูงมากค่ะ โดยขณะนี้ก็ได้ทำการก่อาร้างตั้งแต่ปี 2006 เราคงจะต้องรอดูกันว่าเมื่อ site plan ทั้งหมดนี้สร้างเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไรกันต่อไป แต่ที่แน่ๆคงเป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเราได้ดีเลยทีเดียว รวมทั้งเป็นการบอกกับคนทั่วโลกว่า New York City ยังเป็นศูนย์กลางของ Art and Design เหมือนเดิม แต่ที่แน่ๆมันเป็นอีกสิ่งหนึงที่ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของอเมริกา (อันนี้ไม่ค่อยอยากจะเขียนอย่างนี้สักเท่าไหร่ เพราะอยากทำตัวเป็นกลางกับเรื่องนี้ แต่ความรู้สึกมันบอกอย่างนี้จริงๆว่า อเมริกาต้องการจากบอกกับชาวโลกว่าชั้นนี่แหละที่ยังยิ่งใหญ่อยู่ ถึงแม้ว่าชั้นจะสูญเสียศักดิ์ศรีไปบ้าง แต่ชั้นก็ยังกลับมาได้อย่างสวยงามเสมอ และอยากจะบอกกับอเมริกาถ้าสมมุติว่าอเมริกาเป็นคนเหมือนกันอย่างตรงๆว่า "คุณทำได้นี่ค้า คุณทำได้นี่ค้า" ด้วยน้ำเสียงประชดเต็มพิกัด)

Monday, September 24, 2007

Mark Ronson!!!


He is just bloody good, isn't he? อันนี้ต้องขอใช้คำ bloody เพราะว่าคุณ Mark นั้นเป็น Dj จากเกาะอังกฤษ ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ใน New York ก็เถอะ และคำๆนี้ดูเหมือนจะอธิบายความรู้สึกของเราในตอนนี้หลังจากที่ได้ฟังเพลงจาก Mr. Dj คนนี้มาประมาณสองสัปดาห์กว่าๆโดยที่ไม่เบื่อเลยแม้แต่น้อย (หรือว่า Dj น่าตาน่าร้ากหว่า...แต่อันนี้ม่ายเกี่ยว ม่ายเกี่ยวนะคะนะคะ) หลังจากที่ได้ฟังเพลงของคุณ Mark มานานมากกกกก เมื่อสมัยที่คุณ Mark ยังทำเพลงให้กับศิลปินดังๆหลายคน เราไม่เคยรู้หรือว่าสนใจมาก่อนเลยว่าใคร produce หรือว่าทำ beat ของเพลงๆนี้ที่เราฟังอยู่ แต่รู้ว่าชอบหลายเพลงที่คุณ Mark ทำอยู่ ครั้งแรกก็รู้สึกงงๆเล๊กน้อยกับชื่อของ Mark Ronson (นี่มันใครกันหว่า!!คุ้นๆนะคะ) แต่หลังจากที่เปิดใจนั่งฟังเพลงที่ได้ฟังจาก link ที่ได้มาจาก myspace ก็รู้สึกว่าเพลงน่าสนใจที่เดียว (ป.ล. เราก็ไม่ใช่พวกนักฟังเพลงจ๋าขนาดนั้น แต่เราคิดว่าเพลงใช้ได้เลยที่เดียวเลยแหละ) และแล้วหลังจากที่นั่งฟังเพลงมานานสักพัก ประกอบกับมีคุณเพื่อนผู้น่ารักบ่นให้ฟังว่า "แก update blog ได้แล้ว" เราก็เลยตัดสินใจเขียนเกี่ยวกับ Mr. Dj คนนี้เล็กน้อย (หวังว่าคุณเพื่อนคงไม่ว่านะคะ เพราะว่าเรื่องนี่เกี่ยวกับเพลง ไม่ใช่ Hollywood นะคะนะคะ)


ชื่อ: Mark Ronson


อัลบั้ม: Here comes the fuzz (2003) อันนั้นเก่าอยู่ มีเพลงที่เป็น soundtrack หนังผ่านๆมาให้เราฟังกันอยู่หลายเพลงเหมือนกัน เรื่อง prime กับ hitch ค่ะ, Version (2007)


เราจะคาดหวังอะไรได้จาก Version: เพลงดังเก่าๆ สมัยเมื่อเรายังเด็กที่เอามาทำใหม่เลย และนั้นคงเป็นที่มาของชื่ออัลบั้มด้วย วงอังกฤษทั้งนั้นบางเพลงเก่าเอามากๆ คงจะสมัยคุณพ่อยังหนุ่มและคุณแม่ยังสาวๆได้ เรียกว่าแทบจะไม่เคยได้ยินเลยที่เดียว อาจจะดูแปลกแหวกแนวไปนิด สำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปินเหล่านั้น และเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนรุ่นใหม่ทำเพลงได้ไม่แพ้ของเก่าเลย ยังให้ความรู้สึกของเพลงเก่า แต่ก็ก็ดูใหม่ๆเข้ายุคเข้าสมัยกับเค้าอยู่


เพลงที่น่าสนใจในอัลบั้ม: Stop me (feat. Daniel Merriweather) เพลงนี้เราฟัง version เก่าแล้ว โดยส่วนตัวคิดว่าของคุณ Mark ทำดีได้กว่า อาจจะเป็นเพราะว่า version นั้นมันเก่าแก่ไปเกินยุคสมัยเราจริงๆ, Valeries (feat. Amy Winehouse) อันนั้ก็ชอบอยู่ ฟังครั้งแรกก็ผ่านๆหูไปงั้นๆ ฟังไปเรื่อยๆก็เริ่มคิดว่า เออว่ะ เพราะดี, Oh my God (feat. Lilly Allen) โดยส่วนตัวเฉยๆกับเพลงนี้แต่ว่าก็นะให้ credit นักร้องนิดนึง คิดว่าหลายคนที่ได้ยินชื่อนักร้องคงสนใจอยู่ดี, Amy (อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัวค่ะ), and Just เพลงสุดท้ายนี้เป็นเพลงโปรดที่สุดของในอัลบั้ม สำหรับเพลงนี้แอบมีอาการ bias เล็กน้อย (ความจริงก็ไม่น้อยหรอก) เพราะเป็นหนึ่งในเพลงโปรดที่มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ว่าRadiohead ก็ Radiohead เหอะ เพราะเราฟัง version นี้ของคุณ Mark ตัดสินใจไม่ออกเลยว่าชอบของใหม่หรือของเก่ามากกว่า มันดีกันคนละแบบ


รวมๆแล้วเป็นอัลบั้มที่เหมือนกับว่าเปิดเป็น backgound ตามงาน party เก๋ๆ หรือเปิดตอนทำงานได้ ไม่รบกวนสมาธิหรอก beat ไม่ถึงขนาดต้องออกมาเต้นตามแต่ก็ก็พอขยับแข้งขัยขาได้อยู่เหมือนกัน และอัลบั้มนี่คงเป็นที่น่าจับตามองในปี 2007 เพราะคงถูกใจทั้งนักวิจารณ์และคนฟังอยู่ โดยเฉพาะคนที่ชอบแนวเพลงอังกฤษที่ไม่ใช่แนว brit pop จ๋าขนาดนั้น คนที่ชอบเพลงแนว old school, motown, หรือว่า funk และ jazz ก็น่าจะสนใจอัลบั้มนี้ (มีเพลงที่ catchy หลายเพลงอยู่ เพลงบางเพลงทำออกมาดีกว่า orginal ซะอีกอย่างน้อยก็ในความคิดเรา) แต่สื่อทั้งในอเมริกาและอังกฤษให้ความสนใจมากอยู่พอควร (เพราะว่าหนุ่มคนนนี้มีโชว์ใน VMA 2007 และเข้าชิงรางวัลใน EMA 2007 ด้วย) ไม่รู้ว่าที่บ้านเราจะเป็นยังงัยบ้าง เพราะมันไม่น่าจะเป็นแนวเพลงแบบที่บ้านเราสนใจกันสักเท่าไหร่นัก แต่ที่แน่ๆพูดได้คำนึงแบบจริงใจเลยว่าอัลบั้มนี้ you either love it or hate it.. but i love it ว่ะ

P/S..this guy has a triple threat for music world (great beats, good looking, and good sense of humour)... what else do u want??

ว่าด้วยเรื่อง forward mail

เราเป็นคนนึงที่รำคาญกับ forward mail ที่พอเปิด inbox ขึ้นมาก็มีแต่อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แต่ว่าบางครั้ง forward mail ก็ทำให้โลกสดใสและทำให้เราอมยิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว (ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคนส่งนะคะ อย่าเข้าใจผิด) อันนี้เป็นอีกอันนึงที่อ่านแล้วทำให้เรานั่งอมยิ้มกับความน่ารัก เลยเอามาฝากให้ได้ดูกัน จะได้นึกย้อนเวลากลับไปเมื่อสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ หวังว่าคงทำให้คุณสดใสในวันหนักๆไม่มากก็น้อย


หัวเรื่อง : IF A KID WROTE TO GOD

Dear God,
Are you really invisible or is that just a trick?
Lucy

Dear God,
I want to be just like my daddy when I get big but not with so much hair all over.
Sam

Dear God,
Did you mean for giraffe to look like that or was it an accident?
Norma

Dear God,
I keep waiting for spring but it never comes yet. Don’t forget.
Mark

Dear God,
You don’t have to worry about me. I always look both ways.
Dean

Dear God,
Instead of letting people die and having to make new ones. Why don’t you just keep the ones you got now?
Jane

Dear God,
I want to this wedding and they kissed right in church. Is that ok?
Neil

Dear God,
I think that staples is one of your greatest invention.
Ruth M.

Dear God,
I think about you sometimes even when I’m not praying.
Elliot

Dear God,
I am American, What are you?
Robert

Dear God,
Thank you for baby brother, but what I prayed for was a puppy.
Joyce

Dear God,
I bet it is very hard for you to love all of everybody in the whole world. There are only 4 people in our family and I can never do it.
Nan

Dear God,
Please put another Holiday between Christmas and Easter. There is nothing good in there now.
Ginny

Dear God,
If you watch in church on Sunday, I will show you my new shoes.
Mickey D.

Dear God,
If we come back as something. Please don’t let me be Jennifer Horton because I hate her.
Denise

Dear God,
I would like to live 900 years like the Bible.
Love, Chris

Dear God,
If you give me genie lamp like Alladin, I will give you anything you want except my money or my chess set.
Raphael

Dear God,
We read Thomas Edison made light. But in school they said you did it. so I bet he stole you idea.
Sincerely, Donna

Dear God,If you let the dinosaur not extinct, we would not have a country. You did the right thing.
Jonathan

Dear God,
Please send Dennis Clark to different camp this year.
Peter

Dear God,
I do not think anybody could be a better God. Well I just want you to know but I’m just saying that because you are God.
Charles

Dear God,
Maybe Cain and Able would not kill each so much if they had their own rooms. It works with my brother.
Larry