Tuesday, September 25, 2007

The new World Trade Center

ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่คนทั่วโลกให้ความสนใจเมื่อปี 2001 คงหนีไม่พ้นข่าวที่ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินฟุ่งเข้าชนตึก World Trade Center ใน New York City เพราะทำให้มีผู้บริสุทธิ์หลายพันคนต้องเสียชีวิต นอกเหนือจากการสูญเสียแล้ว หลายคนคงยังจำได้ว่านี่เป็นสาเหตุหรือข้ออ้างหนึ่งของสงครามในทางศาสนาในตะวันออกกลางที่ไม่เคยสิ้นสุด (พูดจริงๆว่าตอนนั้นเราไม่อยากเปิดโทรทัศน์ช่อง CNN สักเท่าไหร่ เพราะเห็นแล้วเบื่อกับสงครามและสงสัยว่าทำไมคนเหมือนกันถึงเลือกที่จะฆ่าฟันกันเอง เราไม่รู้ว่าพระเจ้าใจริงรึเปล่า แต่รู้ว่าถ้ามีจริงพระเจ้าคงอยากเห็นโลกสงบสุขมากกว่า) แต่อย่างไรก็ตามการถล่มตึกWorld Trade Center นี้เป็นการกระตุกหนวดเสืออย่างรุนแรง (อันนั้เห็นด้วยที่สุดและแอบสะใจเล็กน้อย!!) ผลลัพท์ที่ตามมาคือสงครามและการแบ่งพรรคแบ่งพวกของประเทศต่างๆทั้งในยุโรปและเอเชีย แต่อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากเรื่องของสงคราม คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือคนที่อาศัยอยู่ใน New York City ในเวลานั้น เราเองก็คงไม่สามารถจะเข้าใจความรูสึกของคนเหล่านั้นได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็พอจะเข้าใจว่าคง shock น่าดูกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเราเองก็นั่งอึ้งกิมกี่ไปนานหน้าจอโทรทัศน์ พูดกันตรงว่าเหตุการณ์นั้นคงทำลาย sense of security ของคนในเมืองอย่างรุนแรง และคนหลายคนคงทุกข์ใจไปกับการสูญเสียคนในครอบครัวหรือเพื่อนจากเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่เกิดเหตุคือประเทศที่มี security หนาแน่นและเป็นยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา

แต่ว่าทุกอย่างที่เราเห็นมีทั้งผลดีและผลเสียอย่างที่พวกเราก็รู้ๆกันดีอยู่แล้ว เพียงแค่มองในมุมกลับกับเราก็เห็นเรื่องเดียวกันในอีกด้าน เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องสงครามที่เราเห็นตามหน้าสื่อต่างๆ เราก็ได้เห็นน้ำใจของคนที่พยายามให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่าง New York City นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นได้ง่ายๆ เรื่องอีกเรื่องหนึงที่เราเห็นกันได้ชัดเจนคือความเคลื่อนไหวของคนในวงการ Art and Design เหตุการณ์นี้มีผลกระทบอย่างรุนแรงค่ะ (ถ้าคุณสังเกตุในปีนั้นงาน oscar ค่อนข้างเงียบเหงา เศร้าอย่างเล๊กน้อยและทุกคนใส่ชุดดำ) แต่ว่าหนึ่งในวงการที่มีความเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ Architecture เพราะมีการพูดกันอย่างหนาหูว่าจะมีการสร้างตึก World Trade Center ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ New York City เองก็เป็นเมืองที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงของ Art and Design อยู่แล้ว ทั้งพิพิธภัณท์ชื่อดังต่างๆไม่ว่าจะเป็น guggenheim หรือ MOMA ก็เป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ถ้าการสร้างตึก World Trade Center ครั้งใหม่จะเป็นที่น่าตับตา


หลังจากที่เหตุการณ์ในปี 2001 ทาง New York City ได้มีการ The Lower Manhattan Development Corporation หรือที่รู้จักกันอย่างย่อๆเลยว่า LMDC ขึ้นมาเพื่อหารายได้เพื่อใช้ในการสร้างตึกและปรับปรุง downtown Manhattan หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยLMDC จัดให้มีการประมูลงานของ architect ทั่วประเทศเพื่อที่จะมาใช้มาเป็นแบบในการสร้างบริเวณ Ground Zero หรือบริเวณที่ถูกทำลายไป บรรดา archiect ต่างก็ส่งผลงานเข้ามาเพื่อประมูลงานชึ้นนี้ (แต่งานนี้น่าแปลกใจเพราะว่า architect ชื่อดังระดับโลกหลายคนไม่เข้ามาร่วม นั้นก็เป็นเพราะว่าค่าจ้างในงานนี้น้อยมากๆ เพราะว่าแค่ $40,000 โดยประมาณเท่านั้น ซึ่งถ้าพูดกันจริงถือว่าน้อยมากท่าเทียบกับงานใหญ่และความรับผิดชอบสูงขนาดนั้น) แต่อย่างไรก็ตามงานของ Daniel Libeskind ได้รับการคัดเลือก สำหรับตัวของ Daniel Libeskind เองนั้นเป็น Jewish American architect ชื่อเสียงโด่งดังพอตัว ถึงแม้ว่าจะไม่โด่งดังขนาดอะไรประมาณนั้น แต่งานของ Daniel Lebeskind ก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางพอตัวเลย โดยเฉพาะเมื่อเป็นงานที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ cultures แล้วด้วย architect คนนี้มีงานที่น่าสนใจอยู่หลายงานค่ะ (แต่ว่างานตึก World Trade Center ครั้งนี้กำลังจะเป็น most high-profile ของงานทั้งหมดที่เค้าได้ทำมาและจะเป็นงานที่คนหลายจับตากันทั่วโลกแน่นอน ถ้าให้ทายขอบอกว่าคนๆนี้ได้ pritzker จากงานนี้ชัวร์!!)


สำหรับ Deniel Lebeskind งานนี้ตัวเค้าเองไม่ได้เป็น architect แต่กลับเป็นผู้คุมงานทั้งหมด เพราะเค้าเป็น master site planner ซึ่งหมายความว่าเค้านี่เองที่เป็นผู้ออกแบบและวางแผนงานทั้งหมดว่าควรจะออกมาเป็นอย่างไร ในการสร้างครั้งนี้ เราไม่ได้พูดถึงการสร้างตึกเพียงตึกเดียวนะคะ แต่เราพูดถึงการออกแบบพื้นที่ใหญ่ๆทั้งพื้นที่และรวมถึงตึกหลายๆตึก พิพิธภัณท์ สถานีรถไฟใต้ดิน รวมทั้งสวนสาธารณะด้วย และในงานนี้เค้าได้รับการร่วมมือจาก architect หลายๆคนที่จะเข้ามาร่วมกันช่วยสร้างงานครั้งนี้ไม่ว่จะเป็น Frank Gahry, David Childs, และ Santiago Calatrava สำหรับตึกที่จะเด่นที่สุดในงานนี่คือตึกที่มีชื่อว่า Freedom Tower โดยจะมีความสูงทั้งหมด 1,776 ft หรือ 541 m ซึ่งถือว่าสูงมาก สูงมากค่ะ โดยขณะนี้ก็ได้ทำการก่อาร้างตั้งแต่ปี 2006 เราคงจะต้องรอดูกันว่าเมื่อ site plan ทั้งหมดนี้สร้างเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไรกันต่อไป แต่ที่แน่ๆคงเป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเราได้ดีเลยทีเดียว รวมทั้งเป็นการบอกกับคนทั่วโลกว่า New York City ยังเป็นศูนย์กลางของ Art and Design เหมือนเดิม แต่ที่แน่ๆมันเป็นอีกสิ่งหนึงที่ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของอเมริกา (อันนี้ไม่ค่อยอยากจะเขียนอย่างนี้สักเท่าไหร่ เพราะอยากทำตัวเป็นกลางกับเรื่องนี้ แต่ความรู้สึกมันบอกอย่างนี้จริงๆว่า อเมริกาต้องการจากบอกกับชาวโลกว่าชั้นนี่แหละที่ยังยิ่งใหญ่อยู่ ถึงแม้ว่าชั้นจะสูญเสียศักดิ์ศรีไปบ้าง แต่ชั้นก็ยังกลับมาได้อย่างสวยงามเสมอ และอยากจะบอกกับอเมริกาถ้าสมมุติว่าอเมริกาเป็นคนเหมือนกันอย่างตรงๆว่า "คุณทำได้นี่ค้า คุณทำได้นี่ค้า" ด้วยน้ำเสียงประชดเต็มพิกัด)

5 comments:

lukbasketball said...

เราว่าดีค่ะ ที่จะประกาศความยิ่งใหญ่ วงการศิลปะเลยได้ตื่นตัว การสร้างงานสร้างสรรค์ คือ innovation ค่ะ ถ้าอเมริกา คิดอะไรสร้างสรรค์แบบนี้ได้มากๆ จะเป็นประโยชน์ต่อทั่วโลกไม่น้อย
บัญเอิญว่าผู้นำประเทศชอบแสดงความยิ่งใหญ่และความงก ผ่านความรุนแรง และชอบหาเหยื่อหาแพะว่าไม๊คะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าสร้างขึ้นมาจริงๆก็จะเป็นอะไรที่น่าสนใจค่ะ new york ยังเป็นที่นึงที่เราใฝ่ฝันว่าจะไปอยู่เสมอ

Anonymous said...

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อน สมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษาหนุ่มไฟแรง ปิดเทอมครั้งแรกในเดือนตุลา ผมและครอบครัวมีแผนการเดินทางไปยังดินแดนแห่งเสรีภาพ
โดยเป้นการเที่ยวกันเองครั้งแรกของครอบครัวเรา
เราวางแผนล่วงหน้ากันกว่าครึ่งปี

ก่อนหน้าการออกเดินทางซัก สิบห้าวัน
ขณะที่ผมกำลังกินอาหารร้านลุงว้าก ( ซึ่งปัจจุบันแกเสียไปแล้ว ) มีเพื่อนโทรมาบอกว่า word trade
โดนเครื่องบินชน...... ผมฟังแล้วส่งเสียง อือๆ ไปตามเรื่อง และถามต่อว่า

" แล้วโดนฝั่งเกสรพลาสซ่าไหม "

พูดจบปุ้บ ผมแหงนหน้ามองในทีวี
ภาพที่เห็นคือ ....... กบ สุวนันท์ !!!!
เย้ย ไม่ใช่ครับ

ภาพเครื่องบินชนตึกเหมือนหนังแอ็คชั่นทุนต่ำซํกเรื่อง
เพียงแค่ว่า มันเป็นหนังที่ดังจนมาฉายทุกช่องเท่านั้นเอง

ผมอ้าปากค้างแล้วร้องดังๆว่า "--- แม่ "


ผ่านไปสองอาทิตย์ ผมมายืนอยู่ที่ดินแดนเสรีภาพ
ผมกระทบต่อคนที่นี่ ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร
มันเหมือนกับทุกคนอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ถูกแฟนบอกเลิกมาว่า "คุณดีเกินไป " มันหงอยๆอย่างนั้น

ไอ้นิวยอร์กที่ผมอยากไปดูนักหนา ก็กั้นนู้นนี่ไปหมด
เทพีเสรีภาพผมก็ยังไม่ได้เห็นๆ
ที่ได้ดูเต็มๆก็คงเป็นแท็กซี่คันสีเหลืองๆ ที่สื่อสารกันโดยการบีบแตร และ คำว่า ฟักยู

ข้อเสียต่ออเมริกามีมากอย่างไม่ต้องพูดถึง

แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อดีข้อเสีย

ด้านดีของมันก็คือ

ผมเล่นเครื่องเล่นดิสนี่ยแลนด์ ครับทุกเครื่องโดยแทบไม่ต้องต่อคิวเลย

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

"ถ้าอยากไปดิสนีย์ต้องไปตอนเครื่องบินชนตึกครับ"

ขออภัยที่ลากยาวเกินพอดี

ด้วยรักและเคารพ

:->m'26

Anonymous said...

ชีวิตการเป็นสถาปนิกนี่ช่างอาภัพนะครับ
กว่าจะหาที่ทางสร้างตึกดีๆซักหลังนึงก็ต้องรอให้มันถล่มหรือพังลงมาซะก่อน
ผมยังเคยคิดเล่นๆกับเพื่อนที่อังกฤษว่า ถ้าอยากเป็นสถาปนิกที่มีชื่อสร้างตึกที่ทุกคนจำได้ ก็จ้างผู้ก่อการร้ายขับครื่องบินไปชนตึกซักหลังนึง แต่ก่อนที่จะให้เริ่มงาน ก็ออกแบบที่ตรงนั้นเตรียมเอาไว้ก่อนขอเวลามันซักสามปี ทีนี้เราก็จะมีเวลามากกว่าคนอื่นในการวางแปลน วางแนวความคิด ทีนี้พอตึกมันพังลงมาเราก็ได้เปรียบซิครับ ส่งมันไปเลย ทำพรีเซนเทชั่นเตรียมเอาไว้มากๆ
รับรองชนะขาด
ผมว่า นาย เดเนียล อาจจะรู้มาก่อนก็ได้ว่าตึกมันจะถล่มลงมา หึหึหึหึหึ

Anonymous said...

โห อิๆๆๆเข้ามาอ่าน comment หลังจาก promote blogเพื่อนสาวไป มันส์ดีนะคะ ข้อดีการที่ตึกโดนชนนี้ ล้ำมากค่ะ เร็วๆนี้เพื่อนแถวๆนี้จัดการวางแผนชน big ben หรือไรงี้หน่อยไม๊คะ เครื่องบินจะไปอังกิดจะได้ว่างๆ คุนฝนนี่ เรา update blogแย้วนะ เยี่ยมโหน่ยยยย

แปลภาษาฝรั่งเศส said...

ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่สำหรับคนทั่วโลกอย่างมาก ใครเลยจะไปคิดว่าประเทศที่มีมาตรการการรักษาความปลอดภัยสูงจะถูกโจมตีราวกับเรื่องเพ้อเจ้อในภาพยนต์ แต่ที่แน่ๆการสูญเสียผู้คนอันบริสุทธิ์ย่อมไม่ใช่เรื่องสมมุติ แต่มันเป็นความเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง...